วาเดียเนีย หมู่บ้านเล็กๆ ทางตอนใต้ของยูเครนเคยเป็นสถานที่ที่ใครหลายคนเรียกว่าบ้าน จากประชากรกว่า 300 ครอบครัว ปัจจุบันวาเดียเนียมีสมาชิกเหลือเพียง 13 คนเท่านั้น
ย้อนไปหลายปีก่อนหน้า หมู่บ้านที่เงียบสงบเคยเป็นจุดหมายปลายทางของชาวเมืองที่อยากหนีความวุ่นวายช่วงปลายสัปดาห์ มาหาธรรมชาติและบรรยากาศเรียบง่ายของโรงนา พื้นหญ้า และฝูงปศุสัตว์ ด้วยความที่วาเดียเนียอยู่ห่างจากเมืองใหญ่อย่างมาริอูปอลที่มีประชากรเกือบครึ่งล้านเพียง 20 กิโลเมตร ที่นี่จึงมักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย
แต่เมื่อความขัดแย้งเดินทางมาถึง วาเดียเนียที่อยู่ใกล้พื้นที่โจมตี ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก การเข้าออกหมู่บ้านที่เคยเป็นเรื่องธรรมดา กลายเป็นปัญหาใหญ่เพราะต้องผ่านจุดตรวจมากมายจนทำให้ประชากรส่วนใหญ่อพยพออกจากพื้นที่ไปในปี 2014
4 ปีผ่านไป ชาวบ้าน 13 คนที่ยังเหลือ มารวมตัวกันเพื่อรอรับความช่วยเหลือจาก ICRC ‘พวกคุณน่าจะมาบ่อยกว่านี้ แค่แวะมาเยี่ยมเฉยๆ ก็ได้’ก่อนพวกเราเดินทางกลับ พวกเขากล่าวขึ้นพร้อมความหวัง
วาเดียเนียที่เราเห็นด้วยตา ไม่ต่างจากฉากในหนังวันสิ้นโลก บ้านถูกทิ้งร้างสิ่งก่อสร้างถูกทำลาย ภาพกราฟฟิคทั้งหลายถูกวาดทับผนังที่เริ่มกลายเป็นสีเหลือง ทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบที่ชวนอึดอัด โชคยังดีว่า แสงแดดและสายลมอ่อนๆ ของฤดูร้อนช่วยพัดความความเศร้าของเมืองให้ดูเบาบางลงได้บ้าง ตั้งแต่ความขัดแย้งเริ่มต้นจนถึงวันนี้ วาเดียเนียเป็นหนึ่งในเมืองที่ ICRC ให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ
หลังใช้เวลาที่จุดตรวจร่วมสองชั่วโมง รถของพวกเราเคลื่อนผ่านถนนที่เคยปกคลุมด้วยหิมะหนาตอนหน้าหนาว และน้ำท่วมขังระหว่างฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง มาจอดที่หน้าหมู่บ้าน หากไม่นับอุปสรรคด้านความปลอดภัย ปัจจัยทางธรรมชาติก็ทำให้การเดินทางมาวาเดียเนียไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทำกันได้ตลอด
วันนี้สิ่งที่พวกเรานำติดรถมา มีทั้งบรรดาสัตว์ในฟาร์ม อาหารสัตว์ ตาข่ายเหล็ก ตะเกียงแบบชาร์ตไฟ และอุปกรณ์ดับเพลิง
‘เจ้าตัวน้อยของฉัน’ คุณยายโซเฟียอุทานด้วยความยินดีเมื่อเจ้าแกะตัวน้อย โผเข้าสู่อ้อมกอดของหญิงชรา โรดิอน – เพื่อนบ้านของโซเฟีย มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาเศร้า หลังถูกลูกหลงจากการปะทะทางอาวุธเมื่อไม่นานมานี้ โรดิอนไม่แข็งแรงพอจะดูแลฝูงสัตว์อีกต่อไป แม้เวลาจะผ่านมานานปี ทุกวันนี้โรดิอนก็ยังทำใจไม่ได้ที่ต้องเห็นหมู่บ้านที่กลายเป็นเมืองร้างไปต่อหน้าต่อตา
พวกเราเริ่มนำสิ่งของลงจากรถ แต่ละครอบครัวได้รับแจกข้าวสาลีและข้าวโพดจำนวน 125 กิโลกรรมสำหรับประกอบอาหาร รวมไปถึงฟางและตาข่าย ตอนนี้มี 3 ครอบครัวที่เริ่มกลับมาเลี้ยงแกะอีกครั้ง นิโคไล อิวานอวิช ดูจะดีใจจนเห็นได้ชัด
‘เอาตามตรงนะ ผมไม่คิดฝันว่าคุณจะนำเครื่องรีดนมวัวมาให้’ เขากล่าวด้วยความยินดี ‘ภรรยาผมป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบมานาน ทำให้การรีดนมแพะด้วยมือกลายเป็นเรื่องยากและเจ็บปวด’ ’นิโคไลเล่าเรื่องราวของครอบครัวขณะเดินนำเราไปยังฟาร์มสัตว์เล็กๆ ของเขา
ระหว่างเดินกับนิโคไล บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านที่ว่างเปล่า มันยากที่จะไม่นึกถึงผู้คนมากมายที่เคยพักอาศัย บ้านหลายหลัง ถูกสร้างขึ้นอย่างโออ่าสวยงามจนชวนให้จิตนาการว่า เจ้าของคงตั้งใจและหวังให้บ้านหลังนี้เป็นที่พักพิงสุดท้ายในบั้นปลายชีวิต
เมื่อมาถึงจุดหมาย ภาพที่ได้เห็นตรงหน้าดูไม่ต่างจากฟาร์มทั่วไป นิโคไลมีทั้งฝูงแกะ สุนัข และลูกแมวตัวน้อยที่คอยส่งเสียงร้องทักทันทีที่เจ้าของเดินเข้ามา มิช่า – แกะตัวใหญ่อยู่ในวงล้อมของเจ้าแกะตัวน้อยๆ อีกร่วม 18 ตัว
‘ก่อนความขัดแย้งจะก่อตัว ผู้คนมากมายเคยมาเยือนวาเดียเนียในช่วงฤดูร้อน พวกเขาจะพาเด็กๆ มา ใช้เวลาครอบครัวใต้แสงแดดและอากาศบริสุทธิ์ ก่อนกลับไปพร้อมสินค้าสดใหม่จากฟาร์ม ตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่คือเสียงปืนก้องดังและการสู้รบที่ไม่จบสิ้น มันจำเป็นด้วยหรือ? โลกทั้งใบยังมีที่ไม่มากพอสำหรับพวกเราทุกคนอีกหรืออย่างไร?’ นิโคไลกระซิบเบาๆ
ระหว่างทางกลับ พวกเราเดินผ่านบ่อน้ำ ถ้าคุณลองนำคำว่า วาเดียเนีย – Vodiane ไปค้นหาตามเว็บไซท์ ภาพที่คุณจะเจอก่อนใครคือบ่อน้ำ เพราะคำว่า Vodiane ในภาษายูเครนแปลว่า นองไปด้วนน้ำ (watering) แต่บ่อน้ำที่เห็นตรงหน้าไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะมาจากน้ำพักน้ำแรงของชาวบ้าน ที่ช่วยกันขุดบ่อขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน เวลาผ่านไป บ่อน้ำที่เคยใสกลับเต็มไปด้วยต้นกกปกคลุมจนกลายเป็นสีเขียว มีเพียงเป็ดและห่านที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนบ้างเป็นบางครั้ง
‘กรุณากลับมาบ่อยๆ แค่แวะมาหา พวกเราก็ดีใจมากแล้ว’ พวกเขากล่าวอำลาพร้อมความหวังว่าจะได้กลับมาพบกันใหม่ เพราะทุกครั้งที่มีใครมาเยี่ยมเยือน นั่นทำให้ชาววาเดียเนียรู้สึกว่ายังเป็นที่จดจำ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จำทำให้เมืองที่พวกเขารักยังมีชีวิต
แปลจากบทความ: Don’t forget us: Seven families in Vodiane implore the world