แม้ว่าในปี 2016 คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะผ่านมติห้ามโจมตีสถานพยาบาล แต่สองปีหลังการบังคับใช้ บุคลาการทางการแพทย์ที่ปฎิบัติภารกิจด้านมนุษยธรรมทั่วโลก ก็ยังตกเป็นเป้าหมายการโจมตีไม่เว้นแต่ละวัน
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง ที่สาธารณรัฐแอฟริกากลาง มีกลุ่มติดอาวุธบุกโจมตีโรงพยาบาลที่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ของ ICRC ปฎิบัติหน้าที่อยู่ เหตุความรุนแรงลุกลามไปถึงการบังคับจอดและข่มขู่รถพยาบาลที่กำลังรับส่งผู้ป่วยบนท้องถนน
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ระบุว่าหน่วยงานด้านสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนรถพยาบาล ควรได้รับการคุ้มครองจากทุกฝ่าย น่าเสียดายว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2016 จนถึงวันนี้ ICRC ได้รับแจ้งเหตุการโจมตีเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทางการแพทย์มากกว่า 1,200 ครั้งใน 16 ประเทศที่เราเข้าให้การช่วยเหลือ
เฉพาะในอัฟกานิสถาน การโจมตีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือการทำลายอุปกรณ์ทางการแพทย์และสถานพยาบาลก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างกว้างขวาง ตัดโอกาสผู้คนจำนวนหลายล้านไม่ให้เข้าถึงการบริการทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในพื้นที่ขัดแย้ง ยังต้องเผชิญภัยคุกคาม ทั้งการข่มขู่ การลักพาตัว และการตกเป็นเป้าโจมตี ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2016 ร่างมติที่มีขึ้นเพื่อปกป้องสถานพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในเขตสงครามได้ผ่านการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์หลังเกิดเหตุการโจมตีที่ทำให้เกิดผู้เสียชีวิตหลายครั้ง โดยคณะมนตรีความมั่นคง แห่งสหประชาชาติหรือ UNSC ได้กำหนดให้ทุกฝ่ายปฎิบัติตามมติอย่างเคร่งครัด
ICRC ได้ออกมาเรียกร้องให้แต่ละฝ่ายเห็นความสำคัญและปฎิบัติตามมติสหประชาชาติอันประกอบด้วย:
- ห้ามพุ่งเป้าโจมตีพลเรือนและทรัพย์สินของพลเรือน รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ยานพาหนะทางการแพทย์และโรงพยาบาล
2. เปิดทางสำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อนุญาตให้ผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บได้เข้ารับการรักษา
3. การคุกคามใดๆ ต่อการทำงานด้านสาธารณสุขและการแพทย์พยาบาล ขัดต่อข้อตกลงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศและพื้นฐานความเป็นมนุษย์
ท่ามกลางความขัดแย้งมากมายในตะวันออกกลาง การทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขทำให้งานบริการด้านสุขภาพต้องหยุดชะงักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่ประเทศซีเรีย การสู้รบที่ยาวนานทำให้สถานพยาบาลเกินครึ่งต้องปิดให้บริการ บางแห่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการโจมตีทางอากาศ ทำให้การให้ความช่วยเหลือด้านการแพทย์ตั้งแต่การจัดหาเวชภัณฑ์ ตลอดจนการอพยพผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บกลายเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน
ทุกวันนี้ที่ประเทศอิรักการโจมตีระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาลหรือโรงบำบัดน้ำ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประชาชนจำนวนมาก ในเมือง Salah al-Din โรงพยาบาล และสถาบันทางการแพทย์สามในสี่แห่งได้รับความเสียหายและถูกทำลายจนไม่สามารถใช้การได้ ช่วงปลายปี 2017 ที่ประเทศเยเมน มีโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขของประเทศเพียง 45% เท่านั้น และส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดแคลนทั้งยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์
‘แม้แต่สงครามก็มีกฎระเบียบ’ ปีเตอร์ เมาเรอร์ ประธานไอซีอาร์ซีกล่าว ‘ผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการคุ้มครองในทุกสถานการณ์ ความรุนแรงใดๆ ที่กีดกันพวกเขาไม่ให้เข้าถึงการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและเป็นเรื่องที่น่าละอายในฐานะมนุษย์”
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.healthcareindanger.org