Vahagn เด็กหนุ่มวัย 16 เล่าถึงเหตุการณ์ในวันที่เขาต้องจากบ้านโดยไม่มีโอกาสกลับมาอีก ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค ของอาเซอร์ไบจาน ผลักให้ครอบครัวของ Vagagn ต้องลี้ภัยออกจากบ้านเกิด พวกเขาหยิบสิ่งของสำคัญเท่าที่ทำได้ ย้ายมาเริ่มชีวิตใหม่ในเยอร์เวน เมืองหลวงของประเทศอาร์มาเนีย การทิ้งทุกอย่างเพื่อก้าวไปข้างหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความรักในดนตรีของ Vahagn ช่วยให้เขาก้าวผ่านช่วงเวลาเลวร้ายได้อย่างน่าประทับใจ
“ผมหลงรักดนตรีตั้งแต่เด็ก หลังจากได้ยินคุณปู่เป่า shvi (เครื่องดนตรีท้องถิ่นของอาร์มาเนีย ลักษณะคล้ายขลุ่ย) ผมก็รู้สึกประทับใจมากและตัดสินใจว่าจะต้องเป็นนักดนตรีให้ได้”
ตอน Vahagn อายุครบ 8 ปี แม่ของเขาพาลูกชายไปสมัครเรียนทรัมเป็ต “ผมดีใจมาก โทรศัพท์ไปหาญาติๆ เปิดลำโพงโทรศัพท์และเล่นทรัมเป็ตให้ทุกคนฟังกันยกใหญ่” Vahagn กล่าว “ทุกคนต้องฟังผมเล่นก่อน เราถึงจะคุยกันได้” เขาหัวเราะ
ด้วยความรักในดนตรี Vahagn กลายเป็นเด็กหนุ่มอนาคตไกล เขาเอาชนะการประกวดดนตรีระดับสากลได้เมื่อ 3 ปีก่อน “ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเล่นได้ดีเท่าไหร่ แต่เสียงปรบมือที่ได้ในวันนั้นก้องดังมาก ผมตกใจที่รู้ว่าตัวเองชนะการประกวดได้รางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่ง”
Vahagn คิดว่าความสุขเช่นนี้จะคงอยู่ตลอดไป เขารักบ้านเกิดและคิดจะเติบโตเป็นนักดนตรีที่ทำชื่อเสียงให้ท้องถิ่น “ผมเกิดหลังทศวรรษที่ 1990s ชั่วชีวิตผมไม่เคยรู้จักคำว่าสงครามและไม่เคยคิดว่ามหันตภัยร้ายจะอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด” ในฤดูใบไม้ร่วงของปี 2020 ความขัดแย้งในนากอร์โน-คาราบัคปะทุขึ้นอย่างรุนแรง เสียงดนตรีในชีวิตของเด็กหนุ่ม ถูกแทนที่ด้วยเสียงปืน “ตอนแรกผมเข้าใจว่าใครสักแค่จุดพลุ แต่ผมเห็นหน้าต่างบ้านสั่นอย่างรุนแรง และเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เข้าใจว่าสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คิด”
ครอบครัวของ Vahagn ซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินเป็นเวลาสองวัน กระทั่งแม่ของเขาคิดว่าเมืองแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัย “เรามีเวลามากพอหยิบสิ่งของไม่กี่อย่าง เสื้อผ้าสองสามชุด เอกสารที่จำเป็น และทรัมเป็ตของผม น่าเสียดายที่เราไม่ทันหยิบรูปครอบครัวมาเลย มันเป็นของสำคัญที่เชื่อมโยงผมเข้ากับอดีต”
Vahagn พยายามปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในเมืองใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กหนุ่มวัย 16 ปี “ไม่ว่าเมืองของเราจะเล็กแค่ไหน แต่มันก็คือบ้าน ผมมีครอบครัว มีเพื่อน มีชีวิตแบบที่ผมรัก คุณไม่มีวันลืมบ้านเกิดของคุณได้ มันจะอยู่ในใจของผมไปตลอด”
ครอบครัวของ Vahagn ในฐานะผู้ลี้ภัยต้องอาศัยอยู่ในห้องพักขนาดเล็กที่แออัด ไม่มีกระทั่งพื้นที่สำหรับเป่าทรัมเป็ตหรือซ้อมดนตรี “ผมกับเพื่อนๆ เลยตัดสินใจตั้งวงดนตรีเล็กๆ ไปเล่นตามถนน ตอนนั้นเองที่หัวหน้าโรงเรียนดนตรีในเยเรวานสังเกตเห็นเรา เขาชวนวงของผมไปเล่นคอนเสิร์ตร่วมกันกับผู้พลัดถิ่นคนอื่นๆ เราได้พบปะผู้คนมากมาย เรียกได้ว่าดนตรีทำให้ชีวิตของผมกลับมามีสีสัน มันช่วยพวกเราทุกคนไว้จากความกลัวและหดหู่ที่ต้องจากบ้าน”
Vahagn ได้กลับไปเรียนดนตรีอีกครั้ง ความฝันในการเป็นนักดนตรีอาชีพ คือจุดมุ่งหมายที่ทำให้เขามีแรงไปต่อ ทุกวันนี้เขาอาศัยอยู่กับคุณปู่และคุณย่า สมาชิกครอบครัวคนสำคัญที่หลบหนีออกมาพร้อมกันจากพื้นที่ขัดแย้ง “ผมไม่สามารถกลับไปบ้านเกิดได้ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าสงครามพร้อมปะทุอยู่เสมอ ไม่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ผมจะไม่ละทิ้งความฝันของการเป็นนักดนตรี”
สงครามและความขัดแย้งเปลี่ยนชีวิตผู้คนมากมาย Vahagn เป็นหนึ่งในตัวอย่างของคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เขามองไปข้างหน้า เผชิญกับความท้าทายในทุกวัน และในทุกความท้าทายใหม่ๆ Vahagn เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มที่เข้มแข็งและพร้อมจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น