Dia de los Muertos (Day of the Dead) เทศกาลระลึกถึงผู้จากไปของชาวละตินอเมริกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันที่ 1 และ 2 พฤศจิกายน เพื่อเป็นโอกาสให้คนเป็นได้ร่วมกันอธิษฐานถึงเพื่อนและญาติผู้จากไปโดยเชื่อว่าวิญญาณของพวกเขาจะหวนคืนสู่ครอบครัวและบุคคลอันเป็นที่รักในช่วงเวลาดังกล่าว ปีนี้เทศกาลแสนสำคัญถูกจัดในรูปแบบต่างไป ในภาวะที่โควิด-19 กลายเป็นภัยใหญ่ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ทั่วโลก งานเทศกาลในปีนี้จึงเป็นเหมือนโอกาสให้คนที่ยังมีชีวิต ได้คิดย้อนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาตลอดปี ผ่านมุมมองทางศาสนาและความเชื่อ เพื่อนรวมงานของเราลงพื้นที่ร่วมกับ National Geographic เพื่อพบปะผู้คนในแม็กซิโกและเปรู เพื่อเรียนรู้ประเพณีสำคัญในมุมมองที่ต่างไป

พิธีกรรมการฝังศพเป็นประเพณีพื้นฐานที่กลายมาเป็นอัตลักษณ์ของชุมชนจำนวนมาก อย่างไรก็ดี การระบาดของโควิด-19 ที่คร่าชีวิตไปกว่า 1 ล้านคน ทำให้การฝังศพไม่สามารถจัดได้อย่างเก่า มาตรการเหล่านี้เป็นไปเพื่อปกป้องคนเป็น แม้มันจะทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างคนเป็นกับตายดูห่างไกลไปจากที่เคย

Maria de Jesus Linares วีดีโอคอลหาครอบครัวของเธอเพื่อให้พวกเขามีโอกาสได้เห็นพิธีศพของพี่สะใภ้ การระบาดของโควิด-19 ทำให้การเดินทางถูกจำกัด การรวมตัวกันของผู้คนจำนวนมากไม่สามารถทำได้ในบางพื้นที่ “เมื่อเพื่อนและครอบครัวของเราไม่สามารถมาร่วมงาน ความสูญเสียในครั้งนี้ก็ยิ่งทวีน้ำหนักจนยากจะรับไหว”

Rosalina Tuyuc หญิงชราวัย 64 ปี และครอบครัวช่วยกันตกแต่งสุสานด้วยดอกไม้ สุสานแห่งนี้เป็นที่ฝังร่างผู้เสียชีวิต  220 ศพ จากเหตุการณ์ความขัดแย้งช่วงสงครามกลางเมือง ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน พ่อและสามีของ Rosalina ถูกพาตัวไปโดยกองทัพ พวกเขาไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ทุกวันนี้ชะตากรรมของทั้งสองยังคงเป็นปริศนา ครอบครัวของเธอยังไม่ลดความพยายามที่จะตามหาผู้เป็นที่รักทั้งสอง แม้จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ

Day of the Dead เป็นเทศกาลเก่าแก่ของละตินอเมริกา ชาวเมืองจะแต่งตัวสวยงาม ร่วมกันฉลอง เล่นดนตรี ทานอาหาร และเดินทางไปเยี่ยมหลุมศพของผู้เป็นที่รัก พวกเขาเชื่อว่าความตายไม่ได้ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างสองโลก ณ ช่วงเวลาหนึ่งของทุกปี คนเป็นและคนตายจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

“อะไรทำให้เราให้ความสำคัญกับคนตายขนาดนั้น? เหตุใดเราจึงพยายามทุกทางเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ตายได้พักผ่อนในสถานที่ที่มีเกียรติ? ฉันเชื่อว่าความสำคัญที่เรามอบให้กับคนตาย สะท้อนให้เห็นแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์ มันเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของหลักการมนุษยธรรม” Oran Finegan หัวหน้าแผนกนิติวิทยาศาสตร์ของ ICRC ให้สัมภาษณ์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในละตินอเมริกาซึ่งประเพณีที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายมีความเข้มแข็ง นอกจากพื้นที่นี้จะประสบโศกนาฏกรรมจากการสูญหายของผู้คนหลายแสนในระหว่างความขัดแย้งทางอาวุธในอดีตเรื่อยมาจนถึงการอพยพย้ายถิ่นฐานและภัยธรรมชาติในปัจจุบัน ละตินอเมริกายังเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเสียชีวิตจากโควิด-19 สูงที่สุดในโลกอีกด้วย

Carmen Cumes หญิงชราวัย 64 ปีและหลานสาว ยืนอยู่หน้าแผ่นหินอ่อนซึ่งมีรายชื่อบุคคลที่พบในค่ายทหารเมื่อปี 2003 ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ในบรรดารายชื่อจำนวนน้อยที่สามารถสืบหาญาติ มีชื่อของ Felipe Poyón สามีของ Carmen Cumes ถูกจารึกไว้

“ทุกปี เราจัดพิธีเล็กๆ ขึ้นที่นี่ มันเป็นที่พักแห่งสุดท้ายของคนที่เรารัก ร่างของเขาถูกพบเมื่อปี 2003 มันน่าเศร้าที่เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ในปีนี้” เธอกล่าว

“วิกฤตโควิด-19 เป็นสาเหตุสำคัญของความทุกข์ยากสำหรับครอบครัวที่ไม่สามารถไปเยี่ยมบุคคลอันเป็นที่รักในโรงพยาบาลได้ หลายคนไม่ทราบข่าวกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิต เพื่อทำให้เรื่องนี้เลวร้ายยิ่งกว่า หลายครอบครัวไม่ทราบด้วยซ้ำว่าร่างของสมาชิกในครอบครัวถูกฝังไว้ที่ไหน เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตมากเกินไปจนไม่สามารถจัดการได้ทัน ลองนึกภาพว่าคุณสูญเสียพ่อแม่ไปเพราะโรคระบาด คุณไม่สามารถดูแลท่านได้ และยังไม่ทราบว่าศพของพวกท่านถูกฝังไว้ที่ไหน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริง และมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อจิตใจของผู้คน” หัวหน้าแผนกนิติวิทยาศาสตร์ของ ICRC กล่าว

Martha Romero เสียชีวิตจากโควิด-19 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา สามีของเธอและลูกชาย รวมไปถึงสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ล้วนติดเชื้อโควิด-19 แต่ Martha นั้นโชคร้าย เธอไม่เคยหายจากอาการเจ็บป่วย “แท่นบูชาของแม่ไม่ได้มีแค่ส้มสองสามผล เราสร้างแท่นบูชาแบบเต็มรูปแบบเพื่อระลึกถึงท่าน บนนั้นเต็มไปด้วยของที่แม่ชอบ พวกเราร้องไห้บ่อยมาก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเหลือเกิน พวกเราแค่ต้องยอมรับให้ได้ว่าแม่จากไปแล้ว” ลูกชายของเธอกล่าว

Teresa Kawasa ในอ้อมกอดของครอบครัว เธอเพิ่งสูญเสียคุณแม่ไปในวัย 102 ปี

ผู้คนจำนวนมากไม่เห็นความสำคัญของนิติวิทยาศาสตร์กระทั่งพวกเขาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ในพื้นที่ขัดแย้งการจัดการร่างผู้เสียชีวิตยิ่งเป็นเรื่องยากลำบาก ICRC ทำงานร่วมกับรัฐบาลและหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อระบุตัวตนและทำให้มั่นใจว่าร่างของผู้เสียชีวิตได้รับการฝังอย่างสมศักดิ์ศรี

Luis Pedro Dominguez Gonzalez และ Erick Raul Garcia Quinones สองผู้แทนจาก ICRC เข้าร่วมงานไว้อาลัยนาย Basilio Sotz Morales ผู้สูญหายระหว่างความขัดแย้งเมื่อปี 1982 ร่างของเขาถูกพบในปี 2003 การพิสูจน์ DNA ในปี 2014 ทำให้สามารถระบุตัวตนของผู้ตายได้ในท้ายสุด

Joaquin Ramirez ผู้ดูแลสุสานทำงานที่เขารับสืบทอดมาจากปู่และพ่อ “ผมรักงานของผม มันน่าเศร้าที่ปีนี้สุสานว่างเปล่าไร้ผู้คน แต่ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในภาวะโควิด-19 ผมรับโทรศัพท์มากมายและต้องกล่าวปฎิเสธผู้คนจำนวนมากที่ต้องการเดินทางมาเยี่ยมหลุมศพในวันสำคัญ มันเป็นเรื่องยาก แต่ทุกคนก็เข้าใจและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”

กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายอาญาระหว่างประเทศให้ความเคารพต่อร่างของผู้เสียชีวิตภายใต้หลักการปกป้องศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยทั่วไป ครอบครัวของผู้ตายจะต้องได้รับสิทธิ์ให้ประกอบพิธีศพตามความเชื่อทางศาสนา พวกเขาสามารถไว้อาลัยและมาเยี่ยมหลุมศพของผู้เสียชีวิตได้ตามสิทธิพื้นฐาน

แผนกนิติวิทยาศาสตร์ของ ICRC ให้ความเคารพผู้เสียชีวิตและครอบครัวของพวกเขา โดยส่งเสริมให้มีการการจัดการร่างเสียชีวิตอย่างเหมาะสมและสมเกียรติ พวกเราทำงานระบุตัวตนเพื่อสืบค้นชื่อที่หายไป คืนมันให้กับผู้ตาย ก่อนพาร่างของผู้เสียชีวิตเดินทางกลับสู่ครอบครัวอันเป็นที่รัก

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Día de los Muertos and COVID-19 in Latin America: Honouring the dead during a pandemic