เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2568 เพื่อเป็นการรำลึกถึงวาระครบรอบ 80 ปี แห่งการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ร่วมกับ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ไอซีอาร์ซี) จัดฉายภาพยนตร์ซีรีส์ Netflix เรื่อง Tokyo Trial เพื่อเป็นเวทีส่งเสริมการเสวนาสาธารณะเกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law หรือ IHL) ซีรีส์นี้มิเพียงแต่ทบทวนกระบวนการพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามที่กรุงโตเกียว ช่วง พ.ศ. 2489-2491 จากมุมมองทางประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเน้นย้ำถึงการเป็นรากฐานโดยตรงของกลไกในปัจจุบันที่ใช้ดำเนินการต่อการกระทำผิดในคดีอาชญากรรมสงคราม และเป็นกระบวนการสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งมุ่งคุ้มครองบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมในการสู้รบหรือออกจากการสู้รบไปแล้ว

งานฉายภาพยนตร์ที่จัดขึ้นร่วมกันนี้ได้กลายเป็นกิจกรรมประจำปีของ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ไอซีอาร์ซี สำนักงานภูมิภาคกรุงเทพฯ ที่สะท้อนความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของทั้งสองฝ่าย โดยเป็นเวทีสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ พ.ศ. 2562 กิจกรรมนี้ใช้พลังของสื่อภาพยนตร์ในการถ่ายทอดหลักการทางกฎหมายที่ซับซ้อนให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งเชื่อมโยงกฎพื้นฐานของสงครามเข้ากับความทุกข์ทรมานของมนุษย์ที่กฎหมายเหล่านี้มุ่งหวังจะบรรเทาและป้องกัน ภาพยนตร์ที่ถูกคัดเลือกมาฉายในกิจกรรมก่อนหน้านี้ ได้แก่ Eye in the Sky (2015) All Quiet on the Western Front (2022) และ First They Killed My Father (2017) ซึ่งล้วนสำรวจแง่มุมหลากหลายของความขัดแย้งสมัยใหม่และผลกระทบที่มีต่อผู้คน

การฉายซีรีส์ Tokyo Trial (2017) ในปีนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สี่ ชวนให้ทบทวนมรดกทางกฎหมายของศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกล (International Military Tribunal for the Far East) ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์กฎหมายสมัยใหม่ และเป็นรากฐานของกรอบกฎหมายร่วมสมัยสำหรับการบังคับใช้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

การเสวนาทางวิชาการหลังการฉายภาพยนตร์ ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา ได้แก่ ผศ. ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อรรถ บุนนาค  นักเขียน นักแปล และผู้จัดพิมพ์ที่เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น และ จิรัตต์ จิตต์วราวงษ์ ที่ปรึกษากฎหมายของไอซีอาร์ซี สำนักงานภูมิภาคกรุงเทพฯ การเสวนาครั้งนี้เป็นเวทีสำคัญในการศึกษาผลกระทบของการพิจารณาคดีอาชญากรรมสงครามที่กรุงโตเกียวที่มีต่อการพัฒนาหลักการสำคัญ เช่น ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา (command responsibility) และหลักการด้านมนุษยธรรมซึ่งเป็นรากฐานของกฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ ทั้งนี้ การจัดตั้งศาลภายหลังสงครามนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงเจตจำนงของประชาคมโลกในการแสวงหาความยุติธรรมและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งต่อมาได้หลอมรวมเป็นตราสารสำคัญที่กำหนดเรื่องการคุ้มครองที่มีใช้มาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุสัญญาเจนีวาทั้งสี่ฉบับ ลงวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1949 พร้อมทั้งพิธีสารเพิ่มเติม

นอกเหนือจากประเด็นทางประวัติศาสตร์แล้ว การเสวนายังได้ขยายขอบเขตไปสู่ประเด็นร่วมสมัยว่าด้วย “กลไกความรับผิด” ต่อการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเน้นย้ำว่า การแสวงหาความยุติธรรมไม่ควรพึ่งพาสถาบันทางกฎหมายระหว่างประเทศหรือสถาบันในรูปแบบผสมผสานแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากกลไกภายในประเทศ เพื่อให้กฎหมายได้รับการเคารพอย่างแท้จริง ดังที่ จิรัตต์ จิตต์วราวงษ์ เน้นย้ำระหว่างการเสวนาว่า “ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รัฐภาคีของอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งก็คือทุกประเทศในโลก มีพันธกรณีที่จะต้องเคารพและประกันให้มีการเคารพต่ออนุสัญญา นั่นคือ ไม่เพียงแต่ต้องงดเว้นจากการละเมิดกฎหมายเท่านั้น แต่ยังต้องจัดตั้งกลไกเพื่อป้องกันการละเมิดด้วย กลไกเหล่านี้รวมถึง การตรากฎหมายภายในประเทศที่เกี่ยวข้องกับความผิดร้ายแรงตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ การพัฒนาระบบภายในประเทศที่แข็งแกร่งเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และการให้ความรู้และฝึกอบรมด้านกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศแก่กองทัพและเจ้าหน้าที่ผู้ถืออาวุธอื่น แม้ว่าการดำเนินการต่อผู้ละเมิดกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีทางกฎหมาย จะยังคงมีความสำคัญ แต่การให้ความสำคัญต่อกลไกเชิงป้องกันจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีในแง่ที่ว่าจะช่วยยับยั้งไม่ให้เกิดการละเมิดกฎหมายได้ตั้งแต่ต้น”

รศ. ดร. ลลิล ก่อวุฒิกุลรังษี ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกงานฉายภาพยนตร์ร่วมกับไอซีอาร์ซี ได้กล่าวถึงความสำเร็จของความพยายามในการทำให้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศเชื่อมโยงกับความเป็นมนุษย์มากขึ้นไว้ว่า “ความร่วมมือของเรากับไอซีอาร์ซีได้ช่วยให้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศไม่ได้เป็นเพียงชุดกฎเกณฑ์ที่เป็นนามธรรมเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถมองเห็น รู้สึก และนำมาพูดคุยกันได้ ภาพยนตร์เป็นสื่อกลางสำคัญที่ช่วยให้หลักการทางกฎหมายเข้าใจได้ผ่านเรื่องราวชีวิตจริงในสังคมมนุษย์”

ความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างไอซีอาร์ซีและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีความสำคัญยิ่งในการเผยแพร่ความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในประเทศไทย ผ่านการใช้สื่อภาพยนตร์และการเสวนาทางวิชาการ ความร่วมมือนี้ได้เปลี่ยนบรรทัดฐานที่ซับซ้อนของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ให้กลายเป็นบทเรียนเกี่ยวกับสงคราม ความยุติธรรม และมนุษยธรรม ที่เข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศทั้งในระดับสาธารณชนและในแวดวงวิชาชีพกฎหมาย อันจะนำไปสู่การเคารพกฎหมายมากขึ้นและช่วยป้องกันการละเมิดกฎหมายในยามที่มีสถานการณ์การขัดกันทางอาวุธ

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมฉายภาพยนตร์และเสวนาในปีนี้มีจำนวนเกือบ 80 คน จากหลายภาคส่วน ทั้งแบบเข้าร่วมในสถานที่จริงและรับชมแบบออนไลน์ผ่าน Facebook Live

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมฉายภาพยนตร์และเสวนาในปีนี้มีจำนวนเกือบ 80 คน จากหลายภาคส่วน ทั้งแบบเข้าร่วมในสถานที่จริงและรับชมแบบออนไลน์ผ่าน Facebook Live // Pattarachai Preechapanich/ICRC

จิรัตต์ จิตต์วราวงษ์ ที่ปรึกษากฎหมายของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ สำนักงานภูมิภาคกรุงเทพฯ เชื่อมโยงบทเรียนจากประวัติศาสตร์เข้ากับความท้าทายในปัจจุบันว่าด้วยการธำรงไว้ซึ่งการเคารพและความรับผิดตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ

จิรัตต์ จิตต์วราวงษ์ ที่ปรึกษากฎหมายของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ สำนักงานภูมิภาคกรุงเทพฯ เชื่อมโยงบทเรียนจากประวัติศาสตร์เข้ากับความท้าทายในปัจจุบันว่าด้วยการธำรงไว้ซึ่งการเคารพและความรับผิดตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ // Pattarachai Preechapanich/ICRC

หมายเหตุ: