องค์การสหประชาชาติประเมินว่าใน ค.ศ. 2024 มีผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือและความคุ้มครองด้านมนุษยธรรมมากกว่า 300 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าจากจำนวน 130 ล้านคนใน ค.ศ. 2019 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่น่าตกใจนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสถานการณ์จริง เพราะยังไม่รวมถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ เช่น การช่วยเหลือผู้ถูกลิดรอนเสรีภาพให้สามารถติดต่อกับครอบครัว ซึ่งต้องดำเนินการโดยองค์กรด้านมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและปฏิบัติงานข้ามแนวรบได้ รวมถึงการติดตามหาสมาชิกในครอบครัวที่สูญหาย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากอาสาสมัครด้านมนุษยธรรม ตลอดจนการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและการย้ำเตือนพันธกรณีทางกฎหมายแก่คู่พิพาท ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญขององค์กรด้านมนุษยธรรมอย่างคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ดี การปฏิบัติงานด้านมนุษยธรรมเผชิญกับความท้าทายมากมาย หลายครั้งมีการปิดกั้นความช่วยเหลือไม่ให้เข้าถึงผู้ที่ต้องการ ตั้งสิ่งกีดขวาง ปฏิเสธการรับประกันความปลอดภัย รวมถึงมีการคุกคามชีวิตและความปลอดภัยของบุคลากรด้านมนุษยธรรม นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายที่ซับซ้อนกว่าจากมาตรการคว่ำบาตรและมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานขององค์กรด้านมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และบั่นทอนกฎเกณฑ์ของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศว่าด้วยการเข้าถึงและการดำเนินงานด้านมนุษยธรรม
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกองค์กรด้านมนุษยธรรมในปัจจุบันต่างพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการขัดกันทางอาวุธ และต้องเผชิญกับภัยคุกคามทางดิจิทัล เมื่อใดก็ตามที่ระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรด้านมนุษยธรรมถูกโจมตี ข้อมูลทางมนุษยธรรมถูกขโมย หรือมีการใช้แคมเปญออนไลน์เพื่อสร้างความเคลือบแคลงในความไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของการปฎิบัติงานด้านมนุษยธรรมโดยองค์กรเหล่านี้ องค์กรด้านมนุษยธรรมเหล่านั้นก็จะประสบความยากลำบากในการให้ความช่วยเหลือและให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือและในการปฎิบัติงานได้อย่างปลอดภัย
ในบทนี้ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศจะนำเสนอความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับการสงวนพื้นที่ให้ภารกิจด้านมนุษยธรรมในบริบทของมาตรการคว่ำบาตรและมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครององค์กรด้านมนุษยธรรมจากภัยคุกคามทางดิจิทัล
-
การสงวนพื้นที่ให้ภารกิจด้านมนุษยธรรมในบริบทของมาตรการคว่ำบาตรและมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา รัฐและองค์การระหว่างประเทศได้เพิ่มการใช้มาตรการคว่ำบาตรและมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่องเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลและองค์กรที่ถูกกำหนด มาตรการเหล่านี้มักมุ่งเน้นการขัดขวางบุคคลหรือองค์กรที่ถูกกำหนดจากการดำเนินกิจกรรมหรือสนับสนุนการกระทำที่ถือว่าเป็นการก่อการร้ายหรือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและสันติภาพระหว่างประเทศ ซึ่งบ่อยครั้งที่มาตรการเหล่านี้มีผลบังคับใช้ในบริบทที่องค์กรมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เช่น คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ปฏิบัติงานอยู่
แม้ว่าคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศจะไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับความชอบธรรมหรือความจำเป็นของมาตรการคว่ำบาตรและมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย แต่มาตรการเหล่านื้ ทั้งที่ได้รับการรับรองโดยสหประชาชาติ ในระดับภูมิภาค หรือในระดับประเทศ ก่อให้เกิดความกังวลต่อองค์กรด้านมนุษยธรรม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากผลของมาตรการเหล่านี้ที่ทำให้มีข้อจำกัดทางกฎหมาย การขนส่ง และการเงิน ที่ซับซ้อน และมีผลกระทบเชิงลบสะสมต่อขอบเขตและคุณภาพของการดำเนินงานด้านมนุษยธรรมเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการขัดกันทางอาวุธ
ก. การพิจารณากฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในบริบทของมาตรการคว่ำบาตรและมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย
มาตรการคว่ำบาตรและมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายที่ใช้ในบริบทต่าง ๆ จำเป็นต้องมีกลไกป้องกันทางกฎหมายที่รัดกุมเพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการเหล่านั้นสอดคล้องกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และไม่เป็นอุปสรรคต่อภารกิจด้านมนุษยธรรมที่ดำเนินงานตามหลักการ กลไกป้องกันดังกล่าวอาจอยู่ในรูปแบบของข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนและถาวรเพื่อยกเว้นการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรและมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายกับภารกิจด้านมนุษยธรรมที่ดำเนินการโดยองค์กรมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและสอดคล้องกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ในมุมมองของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ การกำหนดกลไกป้องกันเช่นนี้เป็นวิธีเดียวที่จะป้องกันไม่ให้การดำเนินงานด้านมนุษยธรรมที่ได้รับการรับรอง ให้อำนาจ และคุ้มครองโดยกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ถูกตีความว่าเป็นความผิดทางอาญาภายใต้กฎหมายว่าด้วยการคว่ำบาตรและการต่อต้านการก่อการร้าย นอกจากนี้ ยังช่วยรับประกันว่ามาตรการที่ใช้นั้นสอดคล้องกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในประเด็นการเข้าถึงและการดำเนินงานด้านมนุษยธรรม ดังที่ระบุไว้ในข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหลายฉบับที่ได้รับการรับรองมาตั้งแต่ ค.ศ. 2004
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีพัฒนาการทางกฎหมายที่สำคัญอย่างมากในประเด็นนี้
ในช่วง ค.ศ. 2022-2023 เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในวิธีการที่รัฐและองค์การระหว่างประเทศกำหนดมาตรการคว่ำบาตร ทั้งมาตรการที่กำหนดโดยอิสระหรือมาตรการที่กำหนดโดยประชาคมระหว่างประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านมนุษยธรรมมากขึ้น เนื่องจากมีหลักฐานและการรณรงค์เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความจำเป็นของกลไกป้องกันด้านมนุษยธรรมที่มีประสิทธิภาพเมื่อมีการใช้มาตรการคว่ำบาตร ส่งผลให้มีการรับรองข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2664 ค.ศ. 2022 ซึ่งระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “การจัดหา การดำเนินการ หรือการชำระเงิน ทรัพย์สินทางการเงินอื่น ๆ หรือทรัพยากรทางเศรษฐกิจ หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการที่จำเป็นต่อการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างทันท่วงที หรือเพื่อสนับสนุนกิจกรรมอื่น ๆ ที่เอื้อต่อปัจจัยการดำรงชีพพื้นฐานของมนุษย์” ที่ดำเนินการโดยองค์กรด้านมนุษยธรรม ได้รับการยกเว้นจากมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินที่กำหนดโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทั้งในปัจจุบันหรือในอนาคต ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงไปสู่มาตรฐานใหม่ในการกำหนดมาตรการเหล่านี้ โดยมีข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมที่รัดกุมและถาวร
แม้ว่าข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2664 จะมีผลบังคับใช้เฉพาะกับมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินของสหประชาชาติ แต่การรับรองข้อมติดังกล่าวได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรของรัฐและองค์การระหว่างประเทศบางส่วนซึ่งดำเนินมาตรการคว่ำบาตรที่ต่างจากมาตรการที่ออกโดยสหประชาชาติ โดยมักกำหนดให้สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แนวโน้มนี้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างความเป็นเอกภาพของกรอบกฎหมายมาตรการคว่ำบาตรที่ต่างกัน เพื่อป้องกันการขัดกันระหว่างมาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติกับมาตรการคว่ำบาตรอื่น ๆ ทั้งนี้ เนื่องจากความไม่เป็นเอกภาพจะนำไปสู่ปัญหาในทางปฏิบัติ กล่าวคือ ในสถานการณ์วิกฤตเดียวกัน กิจกรรมด้านมนุษยธรรมบางอย่างที่ดำเนินการโดยองค์กรหรือบุคคลที่บางกลุ่ม อาจได้รับอนุญาตภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ แต่ถูกห้ามโดยมาตรการคว่ำบาตรอื่น ๆ ที่ดำเนินการโดยอิสระ ดังนั้น รัฐควรมุ่งมั่นในการกำหนดกรอบกฎหมายที่ชัดเจนและคาดการณ์ได้ เพื่อให้องค์กรด้านมนุษยธรรมและพันธมิตรในภาคเอกชนสามารถดำเนินงานได้และไม่ประสบปัญหาจากการมีข้อจำกัดที่ขัดกันเองของมาตรการสองระบบ
องค์กรด้านมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้รับประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมหลายประการจากการเปลี่ยนแปลงในมาตรการคว่ำบาตรนี้ เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชน (เช่น ธนาคาร ผู้จัดจำหน่ายสินค้าและบริการ บริษัทขนส่ง) ได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านมนุษยธรรมโดยไม่ต้องรับความเสี่ยงต่อการละเมิดมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการใช้นโยบายปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไป (overcompliance) และนโยบายลดความเสี่ยง (de-risking) การปรับเปลี่ยนนี้ยังอาจลดอุปสรรคทางการเงินขององค์กรด้านมนุษยธรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตร โดยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริจาคว่าการสนับสนุนทางการเงินแก่องค์กรด้านมนุษยธรรมจะไม่ขัดต่อมาตรการคว่ำบาตร และสุดท้าย ยังเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่กำหนดให้มีการคุ้มครองทางกฎหมายที่จำเป็นแก่บุคลากรด้านมนุษยธรรมในกรณีที่ต้องดำเนินงานร่วมกับบุคคลและองค์กรที่ถูกกำหนดโดยมาตรการคว่ำบาตร
ข. ข้อท้าทายที่ยังคงมีอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายของมาตรการคว่ำบาตร
แม้จะมีพัฒนาการในทางบวกดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่ยังคงมีข้อท้าทายหลายประการภายใต้กรอบกฎหมายของมาตรการคว่ำบาตรที่จะต้องได้รับการแก้ไข
ประการแรก ยังคงมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรโดยอิสระในบริบทที่องค์กรด้านมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดปฏิบัติงานอยู่ โดยไม่มีข้อยกเว้นทางมนุษยธรรม หรือมีเพียงข้อยกเว้นชั่วคราวซึ่งไม่เพียงพอต่อสถานการณ์ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ในกรณีเช่นนี้ การกำหนดข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมที่รัดกุมและถาวรในมาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้ยังคงมีความจำเป็น
ประการที่สอง การตีความและการปรับใช้ข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมอย่างสอดคล้องกันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพของข้อยกเว้นดังกล่าว การกำหนดพื้นที่สงวนทางมนุษยธรรมจะไม่สามารถส่งผลให้การใช้นโยบายปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวดเกินไปและนโยบายลดความเสี่ยงลดลงได้อย่างเต็มที่ หากปราศจากการสื่อสารและแนวทางที่เหมาะสม ทั้งนี้ ภาคเอกชน ผู้บริจาค และผู้มีส่วนได้เสียอื่น ๆ ต้องมั่นใจว่ารัฐที่บังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรมีความเข้าใจและปรับใช้ข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหมายความว่ารัฐจะต้องจัดทำแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อยกเว้นทางมนุษยธรรม รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว
ประการที่สาม ไม่เพียงแต่มาตรการคว่ำบาตรทางการเงินเท่านั้นที่อาจเป็นอุปสรรคต่อภารกิจด้านมนุษยธรรม มาตรการประเภทอื่น เช่น มาตรการจำกัดการส่งออก ก็อาจก่อให้เกิดอุปสรรคได้เช่นกัน ทั้งในด้านโลจิสติกส์ การเงิน และกฎหมาย ดังนั้น จึงอาจจำเป็นต้องมีการผลักดันให้มีการกำหนดข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมในมาตรการคว่ำบาตรรายภาคส่วน เพื่อป้องกันไม่ให้พัฒนาการเชิงบวกที่เกิดขึ้นกับมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินถูกลดทอนลงจากการที่มาตรการอื่น ๆ ขาดข้อยกเว้นทางมนุษยธรรม
ค. การปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศภายใต้มาตรการต่อต้านการก่อการร้าย
นับตั้งแต่ ค.ศ. 2004 เป็นต้นมา ข้อมติของสหประชาชาติว่าด้วยมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย (ในส่วนอารัมภบทหรือวรรคปฏิบัติการที่ไม่มีผลผูกพันเป็นส่วนใหญ่) บางครั้งได้กล่าวถึงความจำเป็นที่รัฐต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ในการรับรองหรือปฏิบัติตามมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย ต่อมาใน ค.ศ. 2019 ข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2462 ซึ่งมีลักษณะเป็นบทบังคับตามข้อมติที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทที่ 7 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ ก็ได้กำหนดเป็นครั้งแรกว่าการใช้มาตรการต่อต้านการก่อการร้ายโดยรัฐภาคีทั้งหมดในทุกรูปแบบ รวมถึงมาตรการที่ใช้ต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ต้องสอดคล้องกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งเท่ากับเป็นการยอมรับลำดับการบังคับใช้ของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศกับกรอบกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย จากผลของวรรคปฏิบัติการที่ 5 6 และ 24 ของข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2462 นี้ทำให้สามารถตีความได้ว่าภารกิจหลายประการในการต่อต้านการก่อการร้ายตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2462 ให้การยกเว้นเป็นพิเศษแก่การดำเนินงานด้านมนุษยธรรมโดยองค์กรมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและอยู่ภายใต้การกำกับของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
ถึงแม้ว่าข้อมตินี้จะไม่ได้กำหนดอย่างชัดเจนให้รัฐต้องกำหนดข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมไว้ในกฎหมายภายในประเทศว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย แต่ก็เปิดโอกาสให้รัฐสามารถดำเนินการเช่นนั้นได้โดยไม่ขัดต่อพันธกรณีของรัฐภายใต้กรอบกฎหมายว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายของสหประชาชาติ ทั้งนี้ มีหลายรัฐที่ได้กำหนดข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมไว้ในกฎหมายภายในประเทศแล้ว แต่เป็นที่น่าเสียดายที่รัฐส่วนใหญ่ยังไม่ได้ดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการปฏิบัติตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ 2462 อย่างจริงจังมากขึ้น โดยเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ “พิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ (จากมาตรการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย) ต่อการดำเนินงานด้านมนุษยธรรมโดยเฉพาะ” ซึ่งสามารถทำได้โดยการกำหนดข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมที่รัดกุมและถาวรไว้ในกฎหมายภายในประเทศว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย
รัฐต้องหลีกเลี่ยงความไม่สอดคล้องกันระหว่างมาตรการต่อต้านการก่อการร้ายกับมาตรการคว่ำบาตร และเพื่อให้ข้อยกเว้นทางมนุษยธรรมที่เพิ่งกำหนดขึ้นในมาตรการคว่ำบาตรมีผลบังคับใช้จริง รัฐจำเป็นต้องประสานแนวทางการกำหนดกรอบกฎหมายสำหรับมาตรการคว่ำบาตรและการต่อต้านการก่อการร้ายให้สอดคล้องกันด้วย มิฉะนั้น อาจเกิดกรณีที่กิจกรรมที่ได้รับการยกเว้นภายใต้มาตรการคว่ำบาตรยังคงเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นความผิดทางอาญาภายใต้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายได้
-
การคุ้มครององค์กรด้านมนุษยธรรมจากภัยคุกคามทางดิจิทัล
ปัจจุบัน องค์กรด้านมนุษยธรรมพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงานตามพันธกิจขององค์กรและต้องปฏิบัติงานในบริบทของการขัดกันทางอาวุธที่อาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม องค์กรเหล่านี้ก็เผชิญกับภัยคุกคามทางดิจิทัลที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ภัยคุกคามเหล่านี้รวมถึงปฏิบัติการไซเบอร์ที่มุ่งรบกวนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและระบบการสื่อสารขององค์กร การเข้าถึงและขโมยข้อมูลจากระบบโดยมิชอบ รวมถึงปฏิบัติการข่าวสารที่มุ่งทำลายชื่อเสียงขององค์กร ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศและองค์กรด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ ตกเป็นเป้าหมายของปฏิบัติการดังกล่าว ทั้งนี้ เมื่อระบบขององค์กรเหล่านี้ถูกโจมตี โครงการช่วยเหลือและคุ้มครองที่จำเป็นก็ต้องหยุดชะงักหรือล่าช้าและส่งผลกระทบต่อประชากรกลุ่มเปราะบางโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น หากข้อมูลทางมนุษยธรรมรั่วไหลไปยังผู้ไม่หวังดี ข้อมูลนั้นอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อกำหนดเป้าหมายหรือทำร้ายบุคคลที่อยู่ในภาวะเสี่ยงหรือเปราะบางอยู่แล้ว และหากความเชื่อมั่นในองค์กรมนุษยธรรมถูกทำลาย การเข้าถึงผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือก็จะยากลำบากกว่าเดิม อีกทั้งเจ้าหน้าที่ขององค์กรก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ในบริบทของสถานการณ์โลกที่มีผู้ต้องการความช่วยเหลือมากในระดับที่น่าตกใจและความสามารถในการตอบสนองด้านมนุษยธรรมมีจำกัด ภัยคุกคามทางดิจิทัลเหล่านี้อาจทำให้ความทุกข์ทรมานของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการขัดกันทางอาวุธทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่ประชาคมระหว่างประเทศมีฉันทามติว่า ในยามที่มีการขัดกันทางอาวุธ คู่พิพาทในความขัดแย้งและรัฐที่สามต้องอนุญาตและอำนวยความสะดวกให้การดำเนินงานด้านมนุษยธรรมภายใต้การควบคุมของคู่พิพาทและรัฐนั้น ๆ และต้องเคารพและคุ้มครองภารกิจและบุคลากรด้านมนุษยธรรม การกำหนดเป้าหมายโจมตีภารกิจและบุคลากรเหล่านี้ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม ซึ่งในมุมมองของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ หลักการนี้ยังให้ความคุ้มครองแก่องค์กรด้านมนุษยธรรมจากปฏิบัติการไซเบอร์และปฏิบัติการข่าวสารที่เป็นอันตรายด้วย
ก. ปฏิบัติการไซเบอร์ที่ละเมิดและรบกวนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์กรด้านมนุษยธรรม
ปฏิบัติการไซเบอร์ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือทำลายทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงานขององค์กรด้านมนุษยธรรม หรือทำร้ายหรือสังหารเจ้าหน้าที่หรือผู้รับความช่วยเหลือ ถือเป็นการกระทำต้องห้ามเช่นเดียวกันกับการโจมตีพลเรือน นอกจากนี้ ปฏิบัติการไซเบอร์ที่แทรกแซงภารกิจขององค์กรด้านมนุษยธรรมโดยไม่สมควรก็เป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกัน เนื่องจากปฏิบัติการดังกล่าวอาจถือเป็นการ “โจมตี” วัตถุพลเรือน หรือเป็นการกระทำที่ขัดต่อพันธกรณีที่กำหนดให้ทุกฝ่ายต้องเปิดทางและอำนวยความสะดวกให้แก่การดำเนินงานด้านมนุษยธรรม รวมถึงต้องเคารพและคุ้มครองภารกิจดังล่าว กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศยังกำหนดให้คู่พิพาทในการขัดกันทางอาวุธต้องให้ความคุ้มครองแก่องค์กรด้านมนุษยธรรมและบุคลากรจากการกระทำที่เป็นอันตรายโดยภาคเอกชนด้วย
ประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการไซเบอร์ที่ละเมิดข้อมูลทางมนุษยธรรมมีความเฉพาะเจาะจงแม้ว่าจะไม่มีการแก้ไข เข้ารหัส หรือลบข้อมูลก็ตาม แม้ว่ากฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศโดยหลักจะไม่ได้ห้ามคู่พิพาทในสงครามเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขัดกันทางอาวุธ (รวมถึงการดำเนินการโดยลับ เช่น การจารกรรม) แต่คู่พิพาทที่วางแผนจะเข้าถึงข้อมูลทางมนุษยธรรมโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องคำนึงถึงความคุ้มครองพิเศษสำหรับภารกิจด้านมนุษยธรรมด้วย เนื่องจากการสอดแนมองค์กรด้านมนุษยธรรมเป็นการทำลายสถานะความลับของข้อมูลที่องค์กรครอบครองอยู่ และสำหรับคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศแล้ว การรักษาความลับเป็นหลักการทำงานที่สำคัญซึ่งได้รับการรับรองอย่างชัดเจนในกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น ในการเข้าเยี่ยมสถานที่คุมขัง อีกทั้งหากรัฐมอบหมายอาณัติแก่องค์กรด้านมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เช่น คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ดำเนินงานบริการต่าง ๆ เช่น การติดตามผู้สูญหาย งานเหล่านั้นก็จะต้องได้รับการอำนวยความสะดวกและไม่ถูกขัดขวาง นอกจากนี้ คู่พิพาทที่เข้าถึงข้อมูลทางมนุษยธรรมก็ควรตระหนักว่าปฏิบัติการไซเบอร์เหล่านั้นอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในองค์กรด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อมูลนั้นถูกนำไปใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายโจมตีฝ่ายศัตรูหรือพลเรือน
การดำเนินการเพื่อให้ความคุ้มครองตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงความคุ้มครองจากปฏิบัติการไซเบอร์ แก่องค์กรด้านการแพทย์และด้านมนุษยธรรม สามารถทำได้หลายวิธี คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศได้เสนอแนวคิดเรื่องเครื่องหมายดิจิทัล เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการระบุทรัพย์สินดิจิทัลขององค์กรที่ได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ เครื่องหมายนี้เรียกว่า “เครื่องหมายดิจิทัล” (Digital Emblem) เครื่องหมายดิจิทัลจะมีสถานะเทียบเท่ากับเครื่องหมายทางกายภาพที่ใช้ระบุทรัพย์สินที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องกำหนดความคุ้มครองรูปแบบใหม่ในกฎหมายดังกล่าว เครื่องหมายดิจิทัลจะทำหน้าที่ในสถานการณ์การขัดกันทางอาวุธเช่นเดียวกับเครื่องหมายทางกายภาพในโลกจริง โดยสามารถใช้กับสถานที่ทางการแพทย์ ซึ่งรวมถึงสถานที่ทางการแพทย์ของกองทัพ เพื่อแสดงถึงการได้รับความคุ้มครองพิเศษภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และระบุสถานะของการเป็นภารกิจด้านมนุษยธรรมของกลุ่มองค์กรกาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศซึ่งได้รับความคุ้มครองเช่นกัน ทั้งนี้ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญระหว่างประเทศที่ให้คำปรึกษาแก่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศเห็นพ้องกันว่าการใช้เครื่องหมายดิจิทัลที่บ่งบอกสถานะการคุ้มครองตามกฎหมายอย่างชัดเจนนั้นมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง
ข. การบิดเบือนข้อมูลอันเป็นการบ่อนทำลายชื่อเสียงและการดำเนินงานขององค์กรด้านมนุษยธรรม
ปฏิบัติการข่าวสารที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์เป็นสิ่งที่น่ากังวล รวมถึงในแง่กฎหมายด้วย แม้ว่าองค์กรด้านมนุษยธรรมไม่ได้รับความคุ้มครองจากการวิพากษ์วิจารณ์หรือการแสดงความไม่เห็นด้วยและไม่ควรอยู่ในสถานะที่วิจารณ์ไม่ได้ แต่ปฏิบัติการข่าวสารที่แทรกแซงการดำเนินงานขององค์กรหรือทำให้การดำเนินงานและบุคลากรตกอยู่ในความเสี่ยงโดยไม่สมควรนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม โดยในประการแรก การกระทำที่ยุยงส่งเสริมให้เกิดการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เช่น การใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนหรือบุคลากรด้านมนุษยธรรม ไม่ว่าจะกระทำผ่านการส่งข้อความหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนโดยมีเจตนาที่จะขัดขวางหรือก่อกวนภารกิจด้านมนุษยธรรมนั้นถือเป็นการแทรกแซงโดยไม่สมควรและไม่เป็นการอำนวยความสะดวกแต่อย่างใด นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวยังอาจเป็นการละเมิดพันธกรณีที่ห้ามทำร้ายองค์กรด้านมนุษยธรรม (กล่าวคือ พันธกรณีในการเคารพองค์กรด้านมนุษยธรรม) หรือเป็นการไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีในการคุ้มครององค์กรดังกล่าวจากอันตรายโดยการสร้างความเข้าใจผิดและยุยงให้เกิดความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรม
การที่สังคมและสงครามก้าวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลอย่างต่อเนื่องมีแนวโน้มที่จะทำให้ภัยคุกคามทางดิจิทัลมีความถี่ ขอบเขต และผลกระทบที่มากขึ้นต่อทั้งพลเรือนและองค์กรมนุษยธรรม ดังนั้น องค์กรด้านมนุษยธรรม รัฐ และฝ่ายต่าง ๆ ต้องร่วมมือเพื่อให้ฉันทามติเกี่ยวกับการคุ้มครองภารกิจด้านมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดซึ่งมีมาอย่างยาวนานยังคงอยู่ต่อไปในยุคดิจิทัลทั้งในทางกฎหมายและในทางปฏิบัติ เพราะตราบใดที่ผู้ได้รับผลกระทบจากการขัดกันทางอาวุธยังคงต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและเป็นอิสระ องค์กรและบุคลากรที่ปฏิบัติภารกิจนั้นก็ต้องได้รับการปกป้องจากภัยคุกคามต่าง ๆ รวมถึงภัยคุกคามทางดิจิทัลด้วยเช่นกัน
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Protecting and facilitating impartial humanitarian work in evolving conflicts ตีพิมพ์ในหนังสือ 2024 ICRC report on IHL and the challenges of contemporary armed conflicts ดาวน์โหลดหนังสือฉบับเต็มได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย